วงจรไฟฟ้าในบ้าน
วงจรไฟฟ้า
เป็นเส้นทางที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ครบรอบวงจรไฟฟ้าในบ้าน
โดยกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านสายไฟ สะพานไฟ ฟิวส์ สวิตช์
และเครื่องใช้ไฟฟ้าตามลำดับ
แล้วจึงไหลกลับทางสายกลางสายไฟของวงจรไฟฟ้าในบ้าน ประกอบด้วยสายไฟ 2
สาย คือ
2.สายกลาง มักจะหุ้มด้วยพีวีซีสีดำ
มีศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์ หรือ เรียกว่า สาย N
วงจรไฟฟ้าในบ้านประกอบด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า
วงจรปิดคือ วงจรไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ครบวงจร วงจรเปิด คือ
วงจรไฟฟ้าที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้าขาด ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไม่ได้
ชนิดและประเภทของอุปกรณ์ไฟฟ้า
การต่อวงจรไฟฟ้าภายในบ้าน
ต้องศึกษาทำความเข้าในในอุปกรณ์ต่างๆ ก่อน
เนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านมีหลายชนิด ตั้งแต่ที่มีความจำเป็นมากๆ
ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ
ซึ่งนับวันก็ดูจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น เครื่องปรับอากาศ พัดลม ดวงโคม ตู้เย็น ทีวี
หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอีกมากมายในครัว เช่น เครื่องปั่น เครื่องทำกาแฟ
เครื่องสกัดน้ำผลไม้ หม้อหุงข้าว อันดับแรกกระแสไฟฟ้าจะไหลเข้ามาที่ มาตรวัดไฟฟ้า
หลังจากนั้นก็จะถูกส่งต่อไปตามสายไฟต่างๆ ในบ้าน ไหลเข้าสู่สะพานไฟ
และถูกส่งเข้าไปยัง เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นต่างๆ ในบ้าน มีดังต่อไปนี้
สายไฟ
เป็นตัวส่งไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
ผ่านโลหะที่อยู่ภายใน โดยอยู่ในรูปของกระแสไฟฟ้า
ดังนั้นข้อสำคัญ คือสายไฟจะต้องห่อหุ้มด้วยฉนวนที่ดีจะได้ไม่เกิดกระแสไฟฟ้ารั่ว
ฉนวนอาจจะทำจาก ยาง หรือ พลาสติกพีวีซี ก็ได้
ผู้ใช้งานจึงควรหมั่นดูแลและคอยสังเกตสายไฟ
(ถ้าสายไฟไม่ได้ถูกซ่อนอยู่เหนือฝ้าหรืออยู่ภายในผนัง)
ไม่ให้เกิดความชำรุดเสียหายเพราะอาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ในบ้าน เกิดความเสียหายแก่อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
จนกระทั่งเกิดความเสียหายแก่บ้านเรือนได้
สะพานไฟหรือ คัทเอาท์
อุปกรณ์ชนิดนี้เหมือนกับเป็นสวิตช์ใหญ่ประจำบ้าน
เพราะเป็นตัวควบคุมการเปิดและปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน
ผู้ใช้สามารถใช้สะพานไฟควบคุมวงจรไฟฟ้าในแต่ละส่วนของบ้านได้
ปัจจุบันสะพานไฟจะเป็นตัวตัดกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านวงจรไฟฟ้า
ในกรณีที่เกิดการใช้งานเกินกำลัง เพราภายในจะมีฟิวส์เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย
ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในพื้นที่ควบคุมไม่ชำรุดเสียหาย
ฟิวส์ เป็นอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่สำคัญมาก
เนื่องจากช่วยป้องกันอันตรายจากการใช้ไฟฟ้าในบ้าน เพราะถ้าใช้ไฟเกิน อุปกรณ์เล็กๆ
ชิ้นนี้ก็จะหลอมละลาย ช่วยให้ไฟฟ้าในบ้านไม่ลัดวงจร
ฟิวส์มีหลายแบบตั้งแต่แบบเส้นลวด แบบขวดกระเบื้อง
แบบแผ่น แบบหลอดแก้ว แต่ในปัจจุบันมีฟิวส์แบบอัตโนมัติ
สวิตช์ใช้เป็นตัวควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เปิดและปิด
ได้ตามต้องการ
โดยสวิตช์จะควบคุมกระแสไฟฟ้าให้ไหลผ่านเข้าไปในอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ สำหรับอุปกรณ์หลาย ๆ ชนิดเช่นดวงโคม
สวิตช์อาจจะติดอยู่กับตัวโคมหรืออาจติดอยู่บนผนัง ส่วนพัดลมบางชนิดก็มีสวิตช์ติดอยู่ในตัว
หรือถ้าเป็นพัดลมแบบแขวนผนัง สวิตช์ก็จะอยู่ตามผนัง
สรุปคือสวิตช์จะอยู่ในจุดที่สามารถเข้าไปเปิดใช้งานและปิดเมื่อไม่ใช้งานได้อย่างสะดวกนั่นเอง
เต้ารับและเต้าเสียบ อุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชนิด
จะมีเต้าเสียบอยู่กับตัวเพื่อเวลาจะใช้งานจะต้องนำไปเสียบเข้ากับเต้ารับ
ที่อยู่ตามผนังภายในบ้าน อุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชนิด
มีทั้งเต้าเสียบและสวิตช์ไฟเพื่อควบคุมการใช้งาน เช่น พัดลม โคมไฟ โทรทัศน์
ทำให้สามารถเปิดปิดการใช้งานได้ง่าย
แต่ที่สำคัญคือควรจะดึงเต้าเสียบออกเมื่อเลิกใช้งานแล้ว
เพื่อไม่ให้กระแสไฟไหลเข้ามาและยังอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นการช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า
ข้อสำคัญอีกประการคือ ไม่ควรจะเสียบเต้าเสียบหลายๆ
อันเข้ากับเต้ารับอันเดียวกัน เพราะจะทำให้เกิดความร้อนสูง ทำให้เกิดไฟฟ้าช็อต
จากการใช้ไฟเกินได้ ดังนั้นภายในบ้านต้องมีเต้ารับหลายๆ จุด
ตามตำแหน่งที่เราจะต้องมีเครื่องใช้ไฟฟ้าไว้ใช้งาน และควรติดให้อยู่สูงจากพื้นเพื่อกันน้ำท่วม
และ ให้พ้นจากมือเด็กด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในบ้าน
นอกจากอุปกรณ์การใช้งานเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าพื้นฐานที่กล่าวถึงไปแล้วยังมีอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าอีกหลายอย่าง
และที่มีกันอยู่แทบจะทุกบ้านในตอนนี้ ก็คือระบบระบบโทรศัพท์
ซึ่งในปัจจุบันมีโทรศัพท์ออกมาหลายรูปแบบแถมยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น
แต่ที่สำคัญคือระบบโทรศัพท์มีหน้าที่เพื่อช่วยในการสื่อสาร
ซึ่งจะต้องมีการติดตั้งปลั๊กโทรศัพท์
สำหรับการแลกเปลี่ยนสัญญาณเสียงผ่านทางสายคู่ทองแดง ดังนั้นในการติดตั้งปลั๊กโทรศัพท์ควรคิดถึงตำแหน่งการใช้งานให้ดี
เพื่อให้เกิดความสะดวกกับผู้ใช้และความสวยงามกับบ้าน
วงจรไฟฟ้า หมายถึงทางเดินของกระแสไฟฟ้าซึ่งไหลมาจากแหล่งกำเนิดผ่านตัวนำ
และเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดแล้วไหลกลับไปยังแหล่งกำเนิดเดิมมีลักษณะการต่อแบบ “ครบวงจร”
จากปรากฏการณ์ทางไฟฟ้าต่างๆ ที่เกิดขึ้น
จะพบว่ามีสาเหตุมาจากการไหลของไฟฟ้าสายไฟทั่วไปทำด้วยลวดตัวนำ คือ โลหะทองแดงและอะลูมิเนียมอะตอมของโลหะมีอิเล็กตรอนอิสระ
ไม่ยึดแน่นกับอะตอม จึงเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระถ้ามีประจุลบเพิ่มขึ้นในสายไฟ
อิเล็กตรอนอิสระ 1 ตัวจะถูกดึงเข้าหาประจุไฟฟ้าบวกแล้วรวมตัวกับประจุไฟฟ้าบวกเพื่อเป็นกลาง
ดังนั้น อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่เมื่อเกิดสภาพขาดอิเล็กตรอนจึงจ่ายประจุไฟฟ้าลบออกไปแทนที่ทำให้เกิดการไหลของอิเล็กตรอนในสายไฟจนกว่าประจุไฟฟ้าบวกจะถูกทำให้เป็นกลางหมดการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนหรือการไหลของอิเล็กตรอนในสายไฟนี้เรียกว่ากระแสไฟฟ้า (Electric Current)
สำหรับในตัวนำที่เป็นของแข็งกระแสไฟฟ้าเกิดจากการไหลของอิเล็กตรอนโดยอิเล็กตรอนจะไหลจากขั้วลบไปหาขั้วบวกเสมอในตัวนำที่เป็นของเหลวและก๊าซกระแสไฟฟ้าเกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนกับโปรตอนโดยจะเคลื่อนที่เข้าหาขั้วไฟฟ้าที่มีประจุตรงข้าม
ถ้าจะเรียกว่ากระแสไฟฟ้าคือการไหลของอิเล็กตรอนก็ได้แต่ทิศทางของกระแสไฟฟ้าจะตรงข้ามกับการไหลของอิเล็กตรอน
วงจรไฟฟ้าแบบต่างๆ
1. วงจรอนุกรม
เป็นการนำเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดหลายๆ
อันมาต่อเรียงกันไปเหมือนลูกโซ่ กล่าวคือ ปลายของเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวที่ 1
นำไปต่อกับต้นของเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวที่ 2
และต่อเรียงกันไปเรื่อยๆ จนหมด
แล้วนำไปต่อเข้ากับแหล่งกำเนิด การต่อวงจรแบบอนุกรมจะมีทางเดินของกระแสไฟฟ้าได้ทางเดียวเท่านั้น
ถ้าเกิดเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวใดตัวหนึ่งเปิดวงจรหรือขาด จะทำให้วงจรทั้งหมดไม่ทำงาน
คุณสมบัติที่สำคัญของวงจรอนุกรม
1.
กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านเท่ากันตลอดวงจร
2.
แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมส่วนต่างๆ ของวงจร
เมื่อนำมารวมกันแล้วจะเท่ากับแรงดันไฟฟ้าที่แหล่งกำเนิด
3. ความต้านทานรวมของวงจร
จะมีค่าเท่ากับผลรวมของความต้านทานแต่ละตัวในวงจรรวมกัน
วงจรไฟฟ้า
ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 3
ส่วนคือ
1. แหล่งกำเนิดไฟฟ้า
หมายถึงแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าไปยังวงจรไฟฟ้า เช่นแบตเตอรี่
2. ตัวนำไฟฟ้า หมายถึงสายไฟฟ้าหรือสื่อที่จะเป็นตัวนำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งต่อระหว่างแหล่งกำเนิดกับเครื่องใช้ไฟฟ้า
3. เครื่องใช้ไฟฟ้าหมายถึง
เครื่องใช้ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานรูปอื่นซึ่งจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
โหลด
สำหรับสวิตซ์ไฟฟ้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้ามีหน้าที่ในการควบคุมการทำงานให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นถ้าไม่มีสวิตซ์ไฟฟ้าก็จะไม่มีผลต่อการทำงานวงจรไฟฟ้าใดๆ
เลย
2. วงจรขนาน
เป็นการนำเอาต้นของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกๆ
ตัวมาต่อรวมกัน และต่อเข้ากับแหล่งกำเนิดที่จุดหนึ่ง นำปลายสายของทุกๆ
ตัวมาต่อรวมกันและนำไปต่อกับแหล่งกำเนิดอีกจุดหนึ่งที่เหลือ
ซึ่งเมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละอันต่อเรียบร้อยแล้วจะกลายเป็นวงจรย่อย
กระแสไฟฟ้าที่ไหลจะสามารถไหลได้หลายทางขึ้นอยู่กับตัวของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่นำมาต่อขนานกัน
ถ้าเกิดในวงจรมีเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวหนึ่งขาดหรือเปิดวงจรเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เหลือก็ยังสามารถทำงานได้
ในบ้านเรือนที่อยู่อาศัยปัจจุบันจะเป็นการต่อวงจรแบบนี้ทั้งสิ้น
คุณสมบัติที่สำคัญของวงจรขนาน
1.
กระแสไฟฟ้ารวมของวงจรขนาน
จะมีค่าเท่ากับกระแสไฟฟ้าย่อยที่ไหลในแต่ละสาขาของวงจรรวมกัน
2. แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมส่วนต่างๆ
ของวงจร จะเท่ากับแรงดันไฟฟ้าที่แหล่งกำเนิด
3. ความต้านทานรวมของวงจร
จะมีค่าน้อยกว่าความต้านทานตัวที่น้อยที่สุดที่ต่ออยู่ในวงจร
3. วงจรผสม
เป็นวงจรที่นำเอาวิธีการต่อแบบอนุกรม
และวิธีการต่อแบบขนานมารวมให้เป็นวงจรเดียวกัน ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะของการต่อได้
2 ลักษณะดังนี้
3.1
วงจรผสมแบบอนุกรม-ขนาน เป็นการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดไปต่อกันอย่างอนุกรมก่อน
แล้วจึงนำไปต่อกันแบบขนานอีกครั้งหนึ่ง
3.2
วงจรผสมแบบขนาน-อนุกรม เป็นการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดไปต่อกันอย่างขนานก่อน
แล้วจึงนำไปต่อกันแบบอนุกรมอีกครั้งหนึ่ง
คุณสมบัติที่สำคัญของวงจรผสม
เป็นการนำเอาคุณสมบัติของวงจรอนุกรม และคุณสมบัติของวงจรขนานมารวมกัน
ซึ่งหมายความว่าถ้าตำแหน่งที่มีการต่อแบบอนุกรม
ก็เอาคุณสมบัติของวงจรการต่ออนุกรมมาพิจารณา ตำแหน่งใดที่มีการต่อแบบขนาน ก็เอาคุณสมบัติของวงจรการต่อขนานมาพิจารณาไปทีละขั้นตอน
ความแตกต่างของวงจรเปิด-วงจรปิด
1. วงจรเปิด คือวงจรที่กระแสไฟฟ้าไม่สามารถไหลได้ครบวงจร
ซึ่งเป็นผลทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต่ออยู่ในวงจรไม่สามารถจ่ายพลังงานออกมาได้
สาเหตุของวงจรเปิดอาจเกิดจากสายหลุด สายขาด สายหลวม สวิตซ์ไม่ต่อวงจร
หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุด เป็นต้น
2. วงจรปิด คือวงจรที่กระแสไฟฟ้าไหลได้ครบวงจร
ทำให้โหลดหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต่ออยู่ในวงจรนั้นๆ ทำงาน
ทดลองต่อวงจรแสงสว่าง
การที่จะทำให้เกิดแสงสว่างในวงจรไฟฟ้าได้นั้นในวงจรจะต้องประกอบด้วยแหล่งจ่ายไฟฟ้าสำหรับป้อนแรงดันและกระแสให้กับหลอดโดยผ่านสายไฟโดยที่แหล่งจ่ายไฟฟ้าจะเป็นแบบไฟฟ้ากระแสตรงหรือกระแสสลับขึ้นอยู่กับชนิดของหลอดที่ต้องการใช้กับไฟฟ้าประเภทใด
ถ้าเป็นไฟฟ้าที่ใช้ตามอาคารบ้านเรือนต้องป้อนไฟฟ้ากระแสสลับให้กับหลอดไฟ
โดยที่แหล่งจ่ายไฟคือโรงไฟฟ้าบริเวณเขื่อนต่างๆ
ผลิตกระแสไฟฟ้าแล้วส่งมาตามสายไฟฟ้าแรงสูงผ่านหม้อแปลงที่การไฟฟ้าสถานีย่อยเพื่อแปลงแรงดันให้ลดลงเหลือประมาณ
12,000โวลท์ แล้วส่งต่อมายังสายไฟตามถนนสายต่างๆ ก่อนที่จะต่อเข้าอาคารบ้านเรือน
จะมีหม้อแปลงที่ใช้ในการแปลงไฟจาก 12,000โวลท์เป็น220โวลท์ 1เฟส โดยที่สายไฟจะมี 2เส้น
คือ ไลน์ (Line) และ นิวตรอน (Neutral)
ไลน์ เป็นสายไฟที่มีไฟ ส่วนนิวตรอน
เป็นสายดินไม่มีไฟสามารถทดสอบได้โดยใช้ไขควงเช็คไฟ ถ้าไฟติดที่เส้นใดแสดงว่าเป็นเส้นไลน์นอกจากนี้ยังมีระบบไฟฟ้าที่จ่ายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมประเภท
3เฟสซึ่งแรงเคลื่อนที่จ่ายอาจจะเป็น220โวลท์
หรือ 380โวลท์ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งาน
วิธีติดตั้งระบบสายดินที่ถูกต้อง
1. จุดต่อลงดินของระบบไฟฟ้า
(จุดต่อลงดินของเส้นศูนย์หรือนิวทรัล) ต้องอยู่ด้านไฟเข้าของเครื่องตัดวงจรตัวแรกของตู้เมนสวิตช์
2. ภายในอาคารหลังเดียวกันไม่ควรมีจุดต่อลงดินมากกว่า
1 จุด
3. สายดินและสายเส้นศูนย์ต้องต่อร่วมกันที่จุดต่อลงดินภายในตู้เมนสวิตช์
(ดูข้อยกเว้นสำหรับ ห้องชุดอาคารชุด) และห้ามต่อร่วมกันในที่อื่นๆอีกอาทิเช่นในแผงสวิตช์ย่อยขั้วสายศูนย์ต้องมีฉนวนกั้นแยกจากตัวกล่องส่วนขั้วต่อสายดินกับตัวตู้จะต่อถึงกันและต่อลงสายดินซึ่งขั้วสายศูนย์และขั้วสายดินจะไม่มีการต่อถึงกัน
4. ตู้เมนสวิตช์สำหรับห้องชุดของอาคารชุดและตู้แผงสวิตช์ประจำชั้นของอาคารชุดให้ถือว่าเป็นแผงสวิตช์ย่อยห้ามต่อสายเส้นศูนย์และสายดินร่วมกัน
5. ไม่ควรต่อโครงโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้าลงดินโดยตรงแต่ถ้าได้ดำเนินการไปแล้วให้แก้ไขโดยมีการต่อลงดินที่เมนสวิตช์อย่างถูกต้องแล้วเดินสายดินจากเมนสวิตช์มาต่อร่วมกับสายดินที่ใช้อยู่เดิม
6. ไม่ควรใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ชนิด
120/240 V กับระบบไฟ220 V เพราะพิกัด IC จะลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง
7. การติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วจะเสริมการป้องกันไฟฟ้าดูดให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นเช่นกรณีที่มักจะมีน้ำท่วมขังหรือกรณีสายดินขาดเป็นต้นและจุดต่อลงดินต้องอยู่ด้านไฟเข้าของเครื่องตัดไฟรั่วเสมอ
8. ถ้าตู้เมนสวิตช์ไม่มีขั้วต่อสายดินและขั้วต่อสายเส้นศูนย์แยกออกจากกันเครื่องตัดไฟรั่วจะต่อใช้ได้เฉพาะวงจรย่อยเท่านั้นจะไม่สามารถใช้ตัวเดียวป้องกันทั้งบ้านได้
9. วงจรสายดินที่ถูกต้องในสภาวะปกติจะต้องไม่มีกระแสไฟฟ้าจากการใช้ไฟปกติไหลอยู่
10. ถ้าเดินสายไฟในท่อโลหะจะต้องเดินสายดินในท่อโลหะนั้นด้วย
(ห้ามเดินสายดินนอกท่อโลหะ)
11. ดวงโคมไฟฟ้าและอุปกรณ์ติดตั้งที่เป็นโลหะควรต่อลงดินมิฉะนั้นต้องอยู่เกินระยะที่บุคคลทั่วไปสัมผัสไม่ถึง
(สูง 2.40 เมตรหรือห่าง 1.50 เมตรในแนวราบ) 12. ขนาดและชนิดของอุปกรณ์ระบบสายดินต้องเป็นไปตามมาตรฐานกฎการเดินสายและติดตั้ง
มาตรฐานหลักดินและสิ่งที่ใช้แทนหลักดิน
1.
แท่งเหล็กอาบโลหะชนิดกันการผุกร่อน หรือแท่งเหล็กหุ้มทองแดง หรือแท่งทอง
ต้องมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 15 มิลลิเมตร
ยาวไม่น้อยกว่า 180 เซนติเมตร
2.
แผ่นโลหะที่มีพื้นที่สัมผัสไม่น้อยกว่า 1,800 ตารางเซนติเมตร
ถ้าเป็นเหล็กอาบโลหะชนิดกันการผุกร่อน ต้องหนาไม่น้อยกว่า 6
มิลลิเมตร ถ้าเป็นโลหะอื่นที่ทนต่อการผุกร่อน ต้องหนาไม่น้อยกว่า 1.50 มิลลิเมตร
3. หลักดินชนิดอื่น
ต้องได้รับความเห็นชอบจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคก่อน
คุณสมบัติของหลักดิน
และการติดตั้งที่ถูกต้อง
1.
หลักดินต้องทำด้วยวัสดุที่ทนต่อการผุกร่อนและไม่เป็นสนิม เช่น แท่งทองแดง
แท่งเหล็กชุบหรือหุ้มด้วยทองแดงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 มม.
(5/8 นิ้ว) และยาวไม่น้อยกว่า 2.40 เมตร ถ้าเป็นเหล็กหุ้มด้วยทองแดง
ต้องมีความหนาของทองแดงไม่ต่ำกว่า 0.25
มม. และต้องหุ้มอย่างแนบสนิทยึดติดเป็นเนื้อเดียวกันโดยไม่หลุดออกจากกัน
และไม่มีปลายเหล็กโผล่ออกมาสัมผัสกับเนื้อดิน เพื่อไม่ให้เหล็กเป็นสนิม
และต้องไม่มีการเจาะรูเพื่อยึดทองแดงกับเหล็กให้ติดกัน มิฉะนั้นแท่งเหล็กจะเป็นสนิมตามรูที่เจาะนั้น
2. ห้ามใช้อะลูมิเนียมหรือโลหะผสมของอะลูมิเนียมเป็นหลักดิน
เนื่องจากผุกร่อนได้ง่าย
3. หลักดินที่ดีควรผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน
UL-467
4.การต่อสายดินเข้ากับหลักดินนั้น
หัวต่อ,
หลักดิน
และสายต่อหลักดินควรใช้วัสดุชนิดเดียวกันเพื่อไม่ให้มีปัญหาการกัดกร่อน เช่น
หลักดินทองแดงต่อกับสายต่อหลักดินทำด้วยทองแดง
วิธีที่ดีที่สุดควรใช้วิธีเชื่อมต่อด้วยการเผาผงทองแดงให้หลอมละลาย
(ต้องเทผงจุดชนวนให้อยู่ผิวด้านบนและจุดด้วยประกายไฟจากปืนจุดชนวนเท่านั้น
เพราะไม่สามารถจุดด้วยวิธีอื่นได้)
ถ้าใช้หัวต่อที่ยึดด้วยแรงกลก็ต้องใช้หัวต่อที่มีส่วนผสมของทองแดง
และต้องต่ออย่างมั่นคงแข็งแรงและทนต่อการกัดกร่อนได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างของหัวต่อชนิดต่างๆ ตามรูป
ทั้งนี้หัวต่อแต่ละชนิดควรต้องผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน UL-467 ด้วย
5. หลักดินที่ดีเมื่อตอกลงดินแล้วต้องมีความต้านทานการต่อลงดินไม่เกิน
5 โอห์ม ตามมาตรฐานของการไฟฟ้านครหลวง
6. เนื้อดินบริเวณที่ตอกหลักดินที่ดีควรเป็นดินแท้ๆ
และต้องไม่ถูกกั้นหรือล้อมรอบด้วยหิน, กรวด, ทราย หรือแผ่นคอนกรีต
เพราะเป็นอุปสรรคต่อการแพร่กระจายของประจุไฟฟ้าลงสู่ดิน
ทำให้ความต้านทานการต่อลงดินมีค่าสูงเกินกว่ามาตรฐาน
(ในกรณีที่ใช้หลักดินตามมาตรฐานการไฟฟ้านครหลวง
และสภาพพื้นที่และเนื้อดินไม่เป็นอุปสรรคในดินแล้ว
ความต้านทานการต่อลงดินในเขตบริการของการไฟฟ้านครหลวงจะไม่เกิน 5 โอห์มเสมอ โดยไม่ต้องตรวจวัด)
7. ห้ามใช้ตะปูคอนกรีตตอกเข้าไปในผนังหรือพื้นคอนกรีตแทนหลักดิน
เพราะตะปูคอนกรีตไม่สามารถกระจายกระแสไฟฟ้าลงดินเมื่อมีไฟรั่วได้ หลักดินสั้นๆ
ขนาด 1 ฟุต
ที่ใช้สำหรับอุปกรณ์สื่อสารก็ไม่สามารถใช้เพื่อความปลอดภัยนี้ได้
ซึ่งย่อมไม่สามารถเทียบได้กับหลักดินมาตรฐานยาว 2.40 เมตร เพื่อการต่อลงดินที่ดีได้
หลักดินยิ่งยาวจะตอกได้ลึกและยิ่งให้ความต้านทานดินที่ต่ำ
8. ตำแหน่งของหลักดินควรอยู่ใกล้กับตู้เมนสวิตช์
9. ห้ามแช่หลักดินในน้ำ
เพราะเมื่อมีไฟรั่วจะแพร่กระจายไปกับน้ำและเกิดอันตรายกับผู้ที่อยู่ในน้ำ
ถ้าจำเป็นต้องตอกหลักดินในน้ำต้องตอกให้มิดดิน
และสายต่อหลักดินก็ต้องหุ้มฉนวนให้มิดชิดด้วย
10. ขนาดของสายต่อหลักดินจะขึ้นอยู่กับขนาดของสายเมน
และต้องไม่เล็กกว่า 10
ตร.มม.โดยควรมีท่อหรือฉนวนหุ้มอยู่ด้วย
11. การตอกหลักดินควรตอกให้ลึกที่สุด
และถ้าเป็นหัวต่อหลักดินชนิดยึดด้วยแรงกลก็ควรให้หัวต่อโผล่พ้นดิน
หรือระดับที่อาจมีน้ำท่วมเพื่อหลีกเลี่ยงการผุกร่อนของหัวต่อ
และสามารถตรวจสอบได้ง่าย
12. หัวต่อชนิดหลอมละลายสามารถตอกให้จมดินได้
แต่ต้องใช้สายต่อหลักดินที่มีเกลียวเส้นใหญ่ และหุ้มฉนวนมิดชิดเพื่อไม่ให้สายเกลียวผุกร่อน
แหล่งที่มา :http://api.ning.com
การต่อหลอดไฟภายในบ้าน
ปัจจุบันหลอดไฟฟ้าถูกออกแบบมาให้สามารถติดตั้งได้ง่าย
ผู้ติดตั้งไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านไฟฟ้ามาก่อน
จากภาพแสดงขนาดของกล่องเหล็กทั่วๆ ไปมีขนาด 18W. (หลอดสั้น) และ
36W. (หลอดยาว)
มีขั้นตอนการต่อวงจร ดังนี้
1.
เปิดฝาออกจะเห็นชุดขั้วหลอดที่ต่อขั้วสตาร์ทเตอร์มาให้แล้ว มีสายไฟ2สีน๊อตยึดฝา และน๊อตยึด บัลลาสต์ แถมมาให้ด้วย
2. ใส่ขาหลอด (ขาสปริงค์)
ทั้ง 2ด้าน (หัว-ท้าย)
3. เลื่อนขั้วสตาร์ทเตอร์
เข้ากับกล่องเหล็ก สังเกตว่าสายไฟที่ต่อเข้าขั้วสตาร์ทเตอร์เป็นเส้นสีขาว
4. จากนั้นใส่บัลลาสต์ ยึดน๊อต 2ตัวที่เค้าแถมมาให้
เข้ากับกล่องเหล็กต้องเลือกให้วัตต์ตรงกันด้วย
5.
สายไฟ 2เส้น 2สี, เส้นสีขาว ที่ต่อจากขั้วสตาร์ทเตอร์ ปล่อยไว้ ไม่ต้องทำอะไรส่วนเส้นสีฟ้า
ที่ต่อจากขั้วหลอด ไปขั้วหลอด ตัดกลาง ปอกสาย 2ด้าน, ด้านหนึ่งต่อเข้ากับขั้วบัลลาสต์ ขั้วบน
หรือขั้วล่างก็ได้ส่วนปลายเส้นสีฟ้าอีกด้านปล่อยไว้
6. ต่อเข้ากับไฟบ้านจริงๆ2สาย ที่เหลือ
คือขั้วล่างของบัลลาสต์ 1เส้นและปลายสายไฟสีฟ้าที่เหลืออีก 1เส้น
7.
ทำการปิดฝากล่อง ใส่หลอด ใส่สตาร์ทเตอร์
8.
เขียนใหม่ให้ดูง่ายขึ้น เริ่มจากบนสุด ไฟเข้า (L) ต่อเข้าบัลลาสต์
ขั้วไหนก็ได้ออกจากบัลลาสต์อีกขั้ว ไปเข้าขาหลอด, ออกจากขาหลอดอีกด้าน
ไปเข้านิวตรอล (N), ส่วนสตาร์ทเตอร์
ต่อคร่อมขาหลอดหัวท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น