สถานการณ์ด้านการผลิตไฟฟ้าของโลก กำลังมุ่งสู่การลดคาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิตไฟฟ้าอย่างจริงจัง หลายฝ่ายได้ให้ความสนใจต่อแผนพลังงานสะอาด หรือ Clean Power Plan ของประธานาธิบดีโอบามา ที่ประกาศจะลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2)ในการผลิตไฟฟ้าลงร้อยละ 32 ภายใน 15 ปี ขณะที่ PDP2015 ก็มีเป้าหมายลด CO2 ในการผลิตไฟฟ้าลง ร้อยละ 37 ใน 20 ปี ได้ชี้ให้เห็นความพยายามของไทยในการต่อสู้ปัญหาโลกร้อนไม่น้อยไปกว่าสหรัฐอเมริกา จึงทำให้เกิดคำถามว่า ผลที่ตามมาและอนาคตการใช้พลังงานถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาและไทยจะเป็นอย่างไร
ปัจจุบันสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินราวร้อยละ 40 โดยมีกำลังผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าถ่านหินราว 280,000 เมกะวัตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ยังเป็นประเทศผู้นำที่เข้มงวดมากในเรื่องเกณฑ์การปล่อยมลภาวะของโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งเทคโนโลยีสะอาดที่ใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินในสหรัฐอเมริกา สามารถควบคุมมลภาวะจนเป็นที่ยอมรับ และผ่านเกณฑ์มาตรฐานใหม่ที่เข้มงวดได้ พร้อมๆ กับการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า ที่มุ่งลดการปล่อยๆ CO2 ไปพร้อมๆ กัน สำหรับ เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture Storage(CCS) ยังอยู่ในขั้นวิจัยพัฒนาที่มีกระทรวงพลังงานสหรัฐ(Department of Energy) เป็นแกนหลัก
พลังงานสะอาด (Clean Power Plan)
เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโอบามาได้ประกาศแผนพลังงานสะอาด หรือ Clean Power Plan มีสาระสำคัญคือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตไฟฟ้า ลงร้อยละ 32 ในปี 2030 เมื่อเทียบกับปี 2005 หรือลดลงร้อยละ 17 จากปัจจุบัน ตามแผนดังกล่าว สัดส่วนการใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาในปี 2030 จะลดลงเหลือร้อยละ 25 ขณะที่การใช้ก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 27 เป็นร้อยละ 31 พลังงานนิวเคลียร์จะคงที่ราวร้อยละ 18 และพลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13 ร้อยละ 25
ภายใต้แผนพลังงานสะอาด พลังงานฟอสซิลจะยังเป็นพลังงานหลักต่อไป โดยมีสัดส่วนลดลง แต่ปริมาณการใช้จะยังใกล้เคียงกับปัจจุบันหรือลดลงเล็กน้อย ขณะที่การใช้พลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มขึ้นมาทดแทนในช่วงกลางและปลายแผน โดยในช่วงแรกกำลังผลิตจากก๊าซธรรมชาติจะเข้ามาแทนที่โรงไฟฟ้าถ่านหิน เนื่องจากสามารถดำเนินการได้รวดเร็ว ไม่มีผลกระทบต่อระบบไฟฟ้า และไม่ต้องรอการพัฒนาระบบส่งที่จะต้องเชื่อมโยงไปยังโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะอยู่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ
แม้สัดส่วนการใช้ถ่านหินจะลดลงเหลือร้อยละ 25 ในปี 2030 หรือลดลงเฉลี่ยร้อยละ 1.4 ต่อปี แต่จากปี 2020 เป็นต้นไป กำลังผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าถ่านหินจะคงที่ราว 200,000 เมกะวัตต์ เนื่องจากปริมาณกำลังผลิตดังกล่าว มีความเหมาะสมต่อโครงสร้างทางพลังงาน และระดับค่าไฟฟ้า ที่ได้จากการจำลองสถานการณ์ต่างๆ 6 รูปแบบ(EIA - Analysis of the Impacts of the Clean Power Plan ) เช่น กรณีเศรษฐกิจเติบโตสูงและต่ำ ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นและลดลง เป็นต้น โดยที่โรงไฟฟ้าถ่านหินที่หมดอายุ จะถูกทดแทนด้วยโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีความทันสมัยและประสิทธิภาพสูงขึ้น
กำลังการผลิตโรงไฟฟ้าถ่านหิน เปรียบเทียบแผนเดิมกับแผนพลังงานสะอาด
แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2558 – 2579 ( PDP2015)
สำหรับประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตไฟฟ้าเช่นกัน โดย PDP2015 มีเป้าหมายลดก๊าซคาร์บอนไดในการผลิตไฟฟ้าร้อยละ 37 จาก 0.056 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อการผลิตไฟฟ้า 1 หน่วยในปี 2556 จะเหลือ 0.319 กิโลกรัมต่อหน่วยในปี 2579 จากการดำเนินงาน ทั้งการอนุรักษ์พลังงาน การพัฒนาพลังงานทดแทน และการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ที่ต้องมีโรงไฟฟ้าหลัก ซึ่งใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน เป็นโรงไฟฟ้าฐาน โดยมีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เช่น ลม แสงอาทิตย์ และชีวมวล เป็นพลังงานเสริม ซึ่งตามแผน PDP2015 ประเทศไทยจะมีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินในปี 2579 ใกล้เคียงกับปัจจุบัน คือร้อยละ 20 – 25 เพื่อให้เกิดการกระจายการใช้เชื้อเพลิงอย่างสมดุล และรักษาระดับราคาค่าไฟฟ้าที่เหมาะสม
ที่มา : แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ปี พ.ศ. 2558 – 2579 (PDP2015)
ในด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม เราคงต้องยอมรับว่า กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา มีความเข้มงวดและมาตรฐานสูงกว่าประเทศไทย แต่ทิศทางการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินของไทย นอกจากการปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว กฟผ. ยังผูกพันตามที่ระบุไว้ใน EHIA โครงการโรงไฟฟ้า ที่กำหนดค่าควบคุมมลภาวะดีกว่าที่กฎหมายกำหนดหลายเท่าตัว โดยการนำเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ทันสมัยในระดับสากล ที่เรียกว่า เทคโนโลยีสะอาด มาใช้ในการควบคุมฝุ่นละออง ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน และโลหะหนัก
การใช้เทคโนโลยีสะอาดดังกล่าว ทั้งภายในและต่างประเทศ มีผลการตรวจวัดค่ามลภาวะที่ปล่อยออกจากโรงไฟฟ้า ในบรรยากาศ ในดิน และน้ำ ดีกว่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดหลายเท่าตัว พิสูจน์ได้ว่ามีความปลอดภัยต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยที่ผลการศึกษาดังกล่าวของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และเทพา ได้ปรากฏอยู่ในรายงานประเมินผลกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (EHIA) ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม
ที่มา : การควบคุมโลหะหนักของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา - รายงาน EHIA
การวางแผนด้านพลังงานไฟฟ้าของไทย จึงสอดคล้องกับกระแสโลก ในการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดคาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิตไฟฟ้า และสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานอย่างเข้มข้น ในขณะเดียวกัน ก็ได้คำนึงถึงความมั่นคงในระบบไฟฟ้า และการควบคุมระดับราคาค่าไฟฟ้าให้เหมาะสมต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ทุกประเทศได้กำหนดสัดส่วนพลังงานที่เหมาะสม กับสถานการณ์



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น